วันก่อนเล่าถึงของเสีย/สารพิษรวมถึงกระบวนการกำจัดออกทั้งร่างกายและจิตใจ ในบล็อก รู้ลึกเรื่องดีท็อกซ์ ตอนที่ 1 กันไปแล้ว ทีนี้มีคำถามสิ ในเมื่อร่างกายเรามีวิธีกำจัดออกอยู่แล้ว ทำไมเราต้อง Detox กันด้วย แล้ว detox นี้มันทำยังไงได้บ้าง สิ่งที่เราทำๆกันมันคือ detox จริงรึเปล่า

ในภาวะที่ร่างกายเราปกติ สมดุลดี ร่างกายเรามีวิธีการกำจัดของเสียออกเป็นปกติ การ detox ก็คงไม่จำเป็นเท่าไหร่ แต่ในภาวะที่ร่างกายเราขาดสมดุล เกิดของเสีย/สารพิษคั่งค้างในร่างกาย มากกว่าหรือเร็วกว่าที่ร่างกายจะกำจัดออกได้ทัน เมื่อนั้น detox ก็เป็นวิธีหนึ่งที่จะช่วยปรับสมดุลได้

ถ้าร่างกายของเรา เกิดมีของเสียที่คั่งค้างอยู่นานเกินไป มากเกินไป มันจะเป็นยังไง ลองนึกภาพบ่อน้ำ แม่น้ำ ที่คนโยนขยะทิ้งลงไปทุกวันๆ มากคนเข้า ขยะมากขึ้นสะสมลอยเกลื่อนอยู่ในน้ำ ก็เกิดน้ำเน่า สีดำคล้ำ ส่งกลิ่นเหม็น นานไปกว่านั้น สัตว์น้ำ พืชพรรณทั้งหลายก็เริ่มมีอาการ เริ่มป่วยอยู่ไม่ได้ แล้วปัญหาใหญ่อื่นๆก็จะตามมา ถ้าเทียบแบบนี้ เห็นภาพกันมั้ยเอ๋ย ดังนั้นดูแลร่างกายให้สมดุลอยู่เสมอกันนะคะ

Unsplash

อะไรบ้างที่จะบอกว่า ร่างกายเราเริ่มไม่สมดุลแล้ว เริ่มมีของเสียมากเกินไปแล้ว??

จำที่เล่าเรื่องระบบขับของเสียได้มั้ยคะ ถ้ามีของเสียขับออกมามากกว่าปกติ หรือมีอะไรผิดแปลกไป ก็น่าจะเป็นตัวบ่งบอกได้ค่ะ เช่น

  • ฉี่ อึ หรือ เหงื่อออกผิดปกติ ทั้งปริมาณ สี และกลิ่น ไม่ว่าจะมากขึ้นหรือน้อยลง
  • กลิ่นตัวที่เปลี่ยนไป
  • สีผิวที่เปลี่ยนไป แดง คล้ำ ผด ผื่น คัน บวม เป็นสิว หรือผิวหมองคล้ำ ไม่มีออร่า
  • อาการปวดต่างๆ ปวดหัว ปวดเมื่อยเนื้อตัว ปวดข้อ
  • ไม่สดชื่น ง่วงตลอด นอนเท่าไหร่ก็ไม่พอ
  • เครียด คิดอะไรไม่ออก นอนไม่หลับ ฝันร้าย
  • อารมณ์ไม่ดี หงุดหงิดง่าย โมโห โกรธ
  • น้ำหนักที่เปลี่ยนไป ทั้งมากขึ้นและน้อยลง

อยากให้เข้าใจกันอีกนิด การทำ Detox คือการขจัดสารพิษและของเสียออกจากร่างกาย การทำ Detox ไม่ใช่การลดความอ้วนนะคะ แต่ผลจากการทำ detox ด้วยวิธีต่างๆมักช่วยให้น้ำหนักลดลง เพราะฉะนั้น ถ้าจะบอกว่าทำ detox เพื่อลดน้ำหนัก มันดูจะผิดจุดประสงค์หลักกันไปหน่อย เดี๋ยวจะค่อยๆพูดถึง detox วิธีต่างๆนะคะ ใครอยากให้เล่าถึงวิธีไหน ถามกันมาได้นะคะ

เริ่มจากที่น่าจะเคยได้ยินและเชื่อว่าหลายคนเคยลองทำการสวนล้างลำไส้ เป็นการล้างของเสียจากส่วนของลำไส้ใหญ่ค่ะ ลำไส้ใหญ่อยู่ตอนปลายสุดของระบบทางเดินอาหาร ระบบนี้เริ่มจาก ปาก (นึกภาพอาหารผ่านเข้าปากเรา เคี้ยวๆ แล้วกลืนลง) ผ่าน คอหอย ลงไปตาม หลอดอาหาร เข้าสู่กระเพาะอาหาร ย่อย ออกมาลำไส้เล็กเพื่อดูดซึมสารอาหาร ต่อด้วยลำไส้ใหญ่ทำหน้าที่ดูดซึมน้ำกลับ แล้วขับกากอาหารที่เหลือออกมาเป็นอึทางทวารหนักหรือก้นเรานี้ล่ะค่ะ

การสวนล้างลำไส้ ก็คือการใส่ของเหลว (น้ำ/กาแฟ/น้ำสมุนไพร) สวนย้อนศรไปทางก้นเข้าสู่ส่วนปลายของลำไส้ใหญ่ หวังผลให้ของเหลวที่ว่าไปช่วยล้างทำความสะอาดไส้แล้วก็ออกมาทางเดิมนี้หล่ะ พอลำไส้ใหญ่ (เปรียบเหมือนท่อระบายของเสีย) สะอาดไม่มีอะไรอุดตัน ก็เป็นการช่วยให้ลำไส้ใหญ่ทำงานได้ปกติ ทำให้เราขับถ่ายได้ดีขึ้น ลดอาการท้องผูก ที่มักเป็นสาเหตุของการปวดหัวได้ด้วย

ข้อควรระวังคือ ควรศึกษาให้ดี ของเหลวที่ใช้สวนล้างไม่ได้เหมาะกับทุกคน ต้องเลือกด้วยนะคะ แล้วทำบ่อยไปก็ไม่เป็นผลดี เพราะอาจทำให้เกิดลำไส้ขี้เกียจได้ (ไม่ยอมอึเองค่ะ ต้องรอสวน)  และที่สำคัญคือถ้าเราล้างบ่อยเข้ามันจะลดปริมาณแบคทีเรียดีในลำไส้ใหญ่ ซึ่งมีผลต่อการย่อยและดูดซึมวิตามินและเกลือแร่ แถมยังส่งผลถึงภูมิคุ้มกันร่างกายของเราด้วย

คีเลชั่น (Chelation therapy) เป็นการขจัดพิษพวกโลหะหนักที่ค้างอยู่ในร่างกายเรา โดยการฉีดยาเข้าทางเส้นเลือด ยานี้มีส่วนประกอบซึ่งจะไปทำปฏิกิริยาเคมี จับเอาโลหะหนักแล้วขับออกทางฉี่ โลหะหนักที่ว่า เช่น ตะกั่ว ปรอท สารหนู และแคดเมียม เป็นต้น ในบางกรณี ใช้คีเลชั่นในการร่วมรักษาโรคด้วย

โลหะพวกนี้มาอยู่ในร่างกายเราได้ยังไง มาจากหลายทางค่ะ มลพิษในอากาศ น้ำที่เราดื่ม อาหารที่เรากิน ทั้งพืชทั้งเนื้อสัตว์และอาหารทะเล เครื่องสำอางค์ บุหรี่ไฟฟ้า เฟอนิเจอร์ บรรจุภัณฑ์ต่างๆ เป็นต้น อย่าเพิ่งตกใจนะค่ะ ส่วนมากเค้ามีมาตรฐานควบคุมปริมาณโลหะหนักพวกนี้อยู่แล้ว แต่ถ้าใช้หรือกินในปริมาณมากๆและในระยะยาว บางคนอาจจะได้รับมากจนสะสมและทำให้เกิดอาการไม่สบายได้ คีเลชั่น เลยเป็นอีกทางเลือกที่ใช้กำจัดสารพิษพวกนี้ออก คีเลชั่นไม่สามารถทำเองได้นะคะ ต้องทำและอยู่ในการควบคุมดูแลของแพทย์ หรือบุคลากรทางการแพทย์ผู้เชี่ยวชาญค่ะ ปรึกษาแพทย์และศึกษาถึงผลข้างเคียงด้วยก่อนตัดสินใจนะคะ